ตามตำนานสงกรานต์แต่ดั้งเดิมนั้น เชื่อว่าพี่น้องชาวไทยคงได้ยินจากพ่อเฒ่า
แม่เฒ่าเล่าให้ฟังบ้าง หรือหากลืมเลือนไปแล้วนั้น ก็จะบอกให้รู้อย่างย่อถือเสมือนว่านี่คือเสียงเล่าขานจากแม่เฒ่าคนหนึ่งก็แล้วกัน
บทที่แม่เฒ่านำมาเล่านี้ได้มาจากศิลาจารึกที่วัดพระเชตุพนว่าไว้
เศรษฐีคนหนึ่งไม่มีบุตร บ้านอยู่ใกล้กับนักเลงสุราซึ่งมีบุตรสองคนมีผิวเนื้อเหมือนทอง
วันหนึ่งนักเลงสุรานั้นเข้าไปกล่าวคำหยาบช้าต่อเศรษฐี
เศรษฐีจึงถามว่า "เหตุใดมาหมิ่นประมาทต่อเราผู้มีสมบัติมาก"
นักเลงสุราจึงตอบว่า "ถึงท่านมีสมบัติก็ไม่มีบุตร
ตายแล้วสมบัติก็จะสูญเปล่าเราผู้มีบุตรเห็นว่าประเสริฐกว่า"
ท่านเศรษฐีมีความละอาย จึงบวงสรวงพระอาทิตย์ พระจันทร์
ตั้งอธิษฐานขอบุตรถึงสามปีก็มิได้บุตร อยู่มาถึงวันนักขัตฤกษ์สงกรานต์
พระอาทิตย์ยกขึ้นราศีเมษ เศรษฐีจึงพาบริวารไปยังต้นไทร
อันเป็นที่อยู่แห่งฝูงนกทั้งปวง จึงเอาข้าวสารล้างน้ำเจ็ดครั้งแล้วหุงขึ้นบูชาพระไทรประโคมพิณพาทย์
ตั้งอธิษฐานขอบุตรพระไทรมีความกรุณาจึงเหาะเฝ้าพระอินทร์
พระอินทร์จึงให้ธรรมบาลเทวบุตรลงมาปฎิสนธิในครรภ์ภรรยาเศรษฐี
เมื่อคลอดแล้วจึงให้ชื่อ ธรรมบาลกุมาร ปลูกปราสาทเจ็ดชั้นให้อยู่ใต้ต้นไทรริมฝั่งน้ำ
กุมารเจริญขึ้นก็รู้ภาษานก แล้วเรียนไตรเพทจบ เมื่ออายุได้เจ็ดขวบได้เป็นอาจารย์บอกมงคลกาลต่างๆ
แก้มนุษย์ทั้งปวง
ในขณะนั้นโลกทั้งหลายนับถือท้าวมหาพรหมและกบิลพรหมองค์หนึ่งว่าเป็นผู้แสดงมงคลแก่มนุษย์ทั้งปวง
เมื่อกบิลพรหมทราบจึงลงมาถามปัญหาธรรมบาลกุมารสามข้อ โดยสัญญาไว้ว่าถ้าแก้ปัญหาได้จะตัดศรีษะบูชา
แต่ถ้าแก้ไม่ได้จะตัดศรีษะธรรมบาลกุมารเสีย
ปัญหานั้นถามว่า ข้อ 1 เช้าราศีอยู่แห่งใด ข้อ 2 เที่ยงราศีอยู่แห่งใด
ข้อ 3 ค่ำราศีอยู่แห่งใด ธรรมบาลกุมารขอผลัดเจ็ดวัน
ครั้งล่วงไปแล้วเจ็ดวัน ธรรมบาลกุมารยังคิดไม่ได้ จึงนึกว่าวันพรุ่งนี้จะตายด้วยอาญาท้าวกบิลพรหม
จึงลงจากปราสาทไปนอนอยู่ใต้ต้นตาลสองต้น มีนกอินทรีย์สองตัวผัวเมียทำรังอาศัยอยู่บนต้นตาลนั้น
ครั้นเวลาค่ำนางนกอินทรีย์ถามสามีว่า พรุ่งนี้จะได้อาหารจากแห่งใด
สามีบอกว่าจะได้กินศพธรรมบาลกุมารซึ่งท้าวกบิลพรหมจะฆ่าเสียเพราะทายปัญหาไม่ออก
นางนกถามว่าปัญหานั้นว่าอย่างไร สามีจึงบอกว่าปัญหามีว่า
"เช้าราศีอยู่แห่งใด เที่ยงราศีอยู่แห่งใด ค่ำราศีอยู่แห่งใด"
นางนกถามว่าจะแก้อย่างไร สามีจึงบอกว่า "เช้าราศีอยู่หน้า
มนุษย์ทั้งหลายจึงเอาน้ำล้างหน้า เวลาเที่ยงราศีอยู่ที่อก
มนุษย์ทั้งหลายจึงเอาเครื่องหอมประพรมที่อก เวลาค่ำราศีอยู่ที่เท้า
มนุษย์ทั้งหลายจึงเอาน้ำล้างเท้า"
ธรรมบาลกุมารได้ยินดังนั้นก็กลับไปปราสาท ครั้งรุ่งขึ้นท้าวกบิลพรหมมาถามปัญหาธรรมบาลกุมาร
ก็แก้ตามที่ได้ยินมา ท้าวกบิลพรหมจึงตรัสเรียกเทพธิดาทั้งเจ็ด
อันเป็นบริจาริกาพระอินทร์มาพร้อมกันแล้วบอกว่า เราจะตัดศีรษะบูชาธรรมบาลกุมาร
ศีรษะของเราถ้าจะตั้งไว้บนแผ่นดินไฟก็จะไหม้ท่วมโลก ถ้าจะทิ้งขึ้นอากาศฝนก็จะแล้ง
ถ้าจะทิ้งในมหาสมุทรน้ำจะแห้งจึงให้ธิดาทั้งเจ็ดเอาพานมารับศีรษะแล้วก็ตัดศีรษะให้ธิดาองค์ใหญ่
นางจึงเอาพานมารับเศียรบิดาไว้ แล้วแห่ทำประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุ
60 นาที แล้วเชิญประดิษฐานไว้ในมณฑปถ้ำคันธุลีเขาไกรลาศ
บูชาด้วยเครื่องทิพย์ต่างๆ พระเวสสุกรรมก็นฤมิตรแล้วด้วยแก้วเจ็ดประการชื่อ
ภควดี ให้เป็นที่ประชุมเทวดา เทวดาทั้งปวงก็นำเอาเถาฉมูลาดลงมาล้างในสระอโนดาตเจ็ดครั้ง
แล้วแจกกันสังเวยทุกพระองค์ ครั้นถึงครบกำหนด 365 วันโลก
สมมติว่า ปีหนึ่งเป็นสงกรานต์นางเทพธิดาทั้งเจ็ดองค์จึงผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมออกแห่ประทักษิณเขาพระเมรุทุกปีแล้วกลับไปเทวโลก
ที่จารึกในวัดพระเชตุพน มีใจความดังกล่าวมานี้
เรื่องที่แม่เฒ่านำมาเล่านั้นยังมีเรื่องของชื่อเทพธิดาทั้งเจ็ดองค์ซึ่งเป็นชื่อประจำวันทั้งเจ็ด
วันอาทิตย์ ชื่อ ทุงษ, วันจันทร์ ชื่อ โคราด, วันอังคาร
ชื่อ รากษส, วันพุธ ชื่อ มัณฑนา, วันพฤหัส ชื่อ กิริณี,
วันศุกร์ ชื่อ กิมิทา และวันเสาร์ ชื่อ มโหทร
|